วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2550

นำ symbol มาใช้เพื่อการสื่อสารที่ไม่สับซ้อนและได้รับรู้อย่างเป็นสากล ว่ารูปที่นำมาใช้เป็นรูปอะไรเมื่อถูกลดท้อนความละเอียดลง






































นำสีส้มและสีฟ้ามาให้ในงาน
เมื่อแยกแต่ละเล่มออกจากกัน

sequence กับการแปรอักษร V

ตัวงานเป็นหนังสือ 36 เล่มขนาด 16*18 นิ้ว ใน 1 เล่มมี 10 หน้า ใน 1 หน้าถูกแบ่งอีก 4*6 ช่อง ตัวงานใช้ 2 สี คือ สีส้มและสีฟ้า
กราฟิคที่นำมาใช้ เป็นวงรี เพราะ เรียบง่ายและเป็นกลาง ถ้าใช้รูปอื่นที่มีความเข้าใจอยู่แล้วจะทำให้คนอื่น งง เช่น รูปหัวใจ ถ้าใน 1 เล่มมีรูปหัวใจเล็กแล้วยังมองไม่ออกพอนำมารวมกันหลายๆเล่มที่ถูกกำหนดไว้จะกลายเป็นรูปหัวใจรูปใหญ่ แต่พอเราเปลี่ยนหน้าให้กลายเป็นรูปบ้านกราฟิครูปหัวใจเล็กๆเหล่านั้นก็จะกลายเป็นรูปบ้าน แต่ก็เกิดคำถามขึ้นว่าทำไมต้องเป็นรูปหัวใจแล้วกลายเป็นรูปบ้าน รูปหลอดไฟ รูปหัวกระโหลกและอื่นๆ








หนังสือ 1 เล่มจะมี 10 หน้าและในแต่ละเล่มจะถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องอยู่ในตำแหน่งไหนถึงจะได้รูปที่เรากำหนด

sequence กับการแปรอักษร IV

รูปแบบการแปรอักษร โค้ด 1:16

ใน 1 เพลสจะมีสมุดสีหลายเล่ม เมื่อนำมารวมกันจะกลายเป็น seq ใหม่

ใน 1 ภาพบนสแตนจะต้องมีหลายๆเพลสถึงจะทำให้เกิดรูปได้
เป็นการไล่โทนสี ทำให้ seq นั้นชัดเจนขึ้น


วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2550

sequence กับการแปรอักษร I I I

จากที่ได้เสนอมานำมาทดลองสร้างงานภาพเคลื่อนไหว 2 มิติเป็นงานสเก็ต การแปรอักษรอยู่บนสแตรน ภาพแรกเห็นเด็กหนึ่งคนนั่งจัดสมุดสีอยู่ พอกล้องซูมออกก็เห็นเด็กจำนวนหนึ่งนั่งจับเพลทที่เรียงสมุดสีเสร็จแล้ว จากนั้นไม่นานเด็กๆก็หมุนเพลทอีกด้านแต่ก็ดูไม่ออกว่าคืออะไร ต้องซูมออกมาอีกเลยเห็นเป็นจุดสีเหมือนจะเป็นรูปแต่ยังไม่ชัด เลยซูมออกมาเรื่อยๆจนเริ่มเห็นเป็นภาพมากขึ้นจากหนึ่งสแตรนมารวมกับสองสแตรนออกมาจนเห็นครบสามสแตรนภาพที่เห็นก็ชัดเจนด้วยระยะห่างและการบอกเล่าของภาพที่ค่อยๆเป็นไป




















อันนี้เป็นการปลูกต้นไม้จากต้นเล็กๆหนึ่งต้นเป็นสอง สาม สี่ ตั้งแต่ต้นอ่อน ค่อยๆโตขึ้นแตกกิ่งใบ ออกดอกออกผล เป็นต้นไม้ใหญ่ เมื่ออยู่ไกลออกมาเราก็จะเห็นต้นไม้ใหญ่เหล่านั้นเล็กมากจนเห็นแค่สีเขียวๆ พอเราเห็นภาพจากดาวเทียมเราก็เห็นพื้นดินทั้งหมดเป็นสีเขียวกับพื้นน้ำสีฟ้า




















ทั้งสองอันเป็น seq ที่เกิดหรือเริ่มจากสิ่งเล็กๆจนมันมีปริมาณที่เพิ่มขึ้นจนกลายเป็น seq ที่ใหญ่ติดตามต่อในข้อความหน้านะครับ

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2550

sequence กับการแปรอักษร I I

ต่อจากบทความที่ผ่านมาที่ได้เอาเรื่องแปรอักษรมา เริ่มจากการคิดงานใน seq การขึ้นอาคารเรียนแล้วผมก็พยายามนึกว่าจะมีอะไรไมที่เราเห็นตอนจบแล้วรู้เรื่องโดยไม่ต้องรับรู้ว่าที่ผ่านมามันเป็นไง เหมือน seq ของการขึ้นลิฟแล้วก็มีเรื่องแปรอักษรเข้ามาในหัว ก็ไม่รู้ว่าจะใช้ได้ไมก็เลยลองหาข้อมูลก่อน เลยลองเปรียบเทียบระหว่างเรื่องเดิม คือเรื่องย่อ กับเรื่องใหม่ คือเรื่องตอนแปรอักษรเสร็จ เพราะ seq ทั้งสองเป็นการเห็นตอนจบหรือรับรู้จากการสรุป ถ้างงต้องกลับไปอ่านบทความที่ผ่านๆมา

seq อาจไม่สำคัญระหว่างทางก็ได้ ถ้าเราเห็นตอนจบแล้วเข้าใจได้เลย แสดงว่าเรารับรู้ได้แต่ไม่อาจเข้าใจและเข้าถึง

เห็นภาพตอนแปรเสร็จ
- ไม่ได้รับบรรยากาศในการแปรอักษร
- ไม่ได้รู้ที่มาที่ไปของภาพที่ออกมาว่าก่อนหน้านี้เป็นไง
- ขาดจินตนาการในการชม
- หมดเสน่ห์ของการแปรอักษร
*ถ้าเราเห็นภาพตอนจบแล้วเราไม่ได้รับรู้ถึงบรรยากาศของการแปรอักษร จะต่างอะไรกับการดูภาพแตกๆ

อ่านเรื่องย่อจบ
- ไม่ได้รับรู้ถึงบรรยากาศของเนื้อเรื่อง
- ไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่อง
- ไม่ได้จินตนาการไปกับเรื่อง
*การอ่านเรื่องย่อทำให้เราเข้าใจเรื่องแต่ไม่ได้รับรู้ถึงอารมณ์หรือบรรยากาศที่เรื่องนั้นจะพาเราไป

แกนของการแปรอักษรจุดเล็กๆรวมตัวเป็นภาพใหญ่

ลักษณะเด่นของการแบบอักษรต้องคอยรอดูว่าภาพต่อไปจะเป็นภาพอะไร ความต่อเนื่องของการแปร และระยะห่างจากคนที่แปรกับคนที่ดูต้องมีความห่างพอสมควร ถึงจะเห็นภาพนั้นได้อย่างชัดเจน

sequence กับการแปรอักษร I

จากที่ได้ข้อมูลเลยลองหาแกนของ sequence กับการแปรอักษร เพราะทุกอย่างในโลกนี้มี sequence ทุกคนรู้
ผมนำโค้ด 1:16 มาวิเคราะห์ เพราะมีความน่าสนใจและซับซ้อนที่สุดในโค้ดต่างๆ
เริ่มแรกจากเล็กไปหาใหญ่ คือ สมุดสี ในหนึ่งเล่มมี 30 สี และในหนึ่งเพลทมี 2 หน้า หน้าละ 16 เล่ม ดูลักษณะเพลทได้จากบทความที่ผ่านมา และในหนึ่งสแตนจะมีหลายเพลทเพื่อให้ภาพที่แปรมีความละเอียด เหมือนการรวมจุดสีถ้าดูใกล้ๆจะดูไม่รู้เรื่อง ต้องดูไกล


โครงสร้าง sequence ของการแปรอักษร


















สรุป
- ในหนึ่งเพลทจะมีสมุดสีหลายเล่ม เมื่อมารวมกันเป็น seq ใหม่
- ในหนึ่งภาพ บนสแตนจะมีหลายเพลทจึงทำให้เกิดรูปได้เป็นการไล่โทนสี ทำให้ seq นั้นชัดเจนขึ้น
- เป็น seq ที่เหมือนการบวกเลข จากจุดเล็กๆให้เป็นภาพใหญ่ คล้ายต้องเดินจาก 1 2 3 4 ไปให้จบก่อนแล้วต้องดูเฉลยที่ตอนจบถึงจะรู้เรื่องว่าเป็นอะไร งง ปะครับ
- งั้น seq นี้ในความคิดผมนะ ระหว่างทางอาจไม่สำคัญแต่ต้องมีเพราะเราก็จะเข้าใจรูปตอนจบได้ แต่จะไม่รู้ว่ามาไง เหมือนสามารถรับรู้ได้แต่จะไม่เข้าใจและเข้าถึง

คิดไปคิดมามันก็พอจะใกล้ๆหรือมีประโยชน์บางกับประเด็นการขึ้นอาคารเรียน ถึงแม้ที่คิดมามันอาจจะไม่ใช่แกนเดียวกันก็ตาม ติดตามต่อบทความหน้าครับ

วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2550

sequence กับการแปรอักษร

หลังนั่งคิดๆไปเรื่อยๆ ว่าอะไรที่เราสามารถทำข้ามๆได้โดยไม่มีผลอะไร อย่างเราทำอยู่ที่ 1 แล้วทำ 4 ต่อเลยโดยไม่มีผล อยู่ๆก็มีเรื่องแปรอักษรเข้ามาในหัวเฉยเลยก็เลยลองหาข้อมูลดู เพื่อจะมีอะไรที่ใช้ประโยชน์ได้บ้าง

แปรอักษร

การแปรอักษร ต้องใช้คนทั้งหมด 2,300 คน
แสตนด์มีแถวตอนทั้งหมด 100 แถว ก็แบ่งเป็น แถวแนวนอน a b c d ไปอีก 23 แถวล่ะมัง
อืม (นับๆ) ถ้างั้นก็จะมีแถว a-w ^^

เราอยู่แถว E 12

แต่ก่อนตอนเด็กๆ ดูงานบอลจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ทางทีวีแล้ว ก็นึกว่า ที่เขาแปรอักษรได้เลิศหรูอลังการขนาดนั้น คงจะซ้อมกันเป็นเดือนๆแน่ๆเลย

พอได้มาอยู่บนแสตนด์แล้ว ถึงรู้ว่า XD เปล่าเลย พี่เขาแจกใบโค้ดมาแล้วอธิบายวิธีอ่านโค้ด ให้เข้าใจ จากนั้นก็ ลงมือแปรอักษรกันทันที!! ซ้อมอะไร~ไม่ต้อง~~

สรุปก็คือ พวกเราที่ขึ้นแสตนด์แค่ทำตามที่พี่เขาว่าเท่านั้นเอง ที่ต้องนับถือคือพวกชมรมเชียร์นี่แหล่ะ เก่งจริงๆ >
/me ปรบมือให้

เอาล่ะ มาดูกันดีกว่าว่า โค้ดแปรอักษรที่พี่เขาคิดขึ้นมาเนี่ย มีอะไรบ้าง

โค้ด 1:1
ใช้กระดาษสีแผ่นใหญ่ 1 แผ่นยกขึ้นมา ใช้ทำเป็นคำพูดสั้นๆ
















โค้ดโต้ตอบ
ใช้ร่มสีฟ้า หุบ-กาง
















โค้ดต่อเนื่อง
ก็คล้ายกับโค้ด 1:1 น่ะแหล่ะ แต่ใช้กระดาษสีเดียว โดยพี่เขาจะนับ 1-10 ถ้าใครในช่องเลขไหนมีเขียนไว้ว่าให้ยกก็ยก ใครม่มีก็เอาลง เช่น ช่องที่ 1 เรามี พอพี่นับ 1 เราก็ยก พอพี่นับ 2 แล้ว ช่องที่ 2 เราไม่มี ก็เอาลง จะเปิดเป็นคำชุดอ่านต่อๆกัน อาจเป็นกลอนหรือโคลง
















โค้ด MP
MP ย่อมาจาก Movie Picture ใช้ร่มหุบ-กาง คล้ายๆกับโค้ดต่อเนื่อง เพียงแต่อันนี้พี่นับ 1-100 เลย แล้วตัวอักษรมันจะเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆคล้ายไฟวิ่ง

โค้ด BAKA
ไปอ่านได้ในหัวข้อ BOOM BAKA
XD

โค้ด 1:16
นี่ล่ะ จุดเด่นของแสตนด์เลย
ใช้โครงเหล็กในการเปิด โดยโครงเหล็ก 1 อัน จะประกอบไปด้วยสมุดสี 16 เล่มทั้ง 2 ด้าน และสมุดสีแต่ละเล่มจะมี 30 สี หน้าละสี มีตัวเลขบอกรหัสสีกำกับไว้ ใช้เปิดภาพที่ละเอียด เน้นความสวยงาม




















หน้าตาของเพลท 1:16













อยากบอกว่า พลิคเพลทกันมือเป็นปลาหมึก!!

พอแปรอักษรเป็นรูปๆนึงแล้ว ใช่ว่าเราจะยกมันวางบนตักไว้เฉยๆนะ บอกแล้วใช่มั้ยว่า สมุดสีมี 2 ด้าน...นั่นแหล่ะ ระหว่างยกโชว์ด้านหน้า ด้านหลังก็พลิกค้ดต่อไปอย่างเอาเป็นเอาตาย


ที่มาข้อมูล http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=firodendon&date=27-01-2005&group=1&gblog=6

ทบทวนกับ seq ของการขึ้นตึก

หลังจากไม่มีอะไรดีขึ้นกับการเสนอที่ผ่านๆมา ทำให้ผมต้องกลับไปทบทวนตั้งแต่เริ่มต้นใหม่ seq ของการขึ้นอาคารเรียน

seq แรก





seq ต่อมา





ทั้งสอง seq ความห่างของชั้นเท่ากัน คือ 4 ชั้น แต่การเลือกทางไปจะทำให้เร็วขึ้น
seq แรก เราจะผ่าน 1 2 3 4 เราต้องเริ่มจากแรกและผ่านทุกอย่างใน seq นั้นจนถึงเป้าหมาย
seq สอง เราจะผ่าน 1 และไปถึงเป้าหมายที่จะไปเลย โดยไม่ได้ผ่านระหว่างทางที่จะไป 2 3 ทำให้เราไม่รู้หรือไม่มีประสบการณ์ในชั้นที่ไม่เคยไป

ประเด็น - ความห่างของชั้นที่เท่ากัน
- ระยะทางเป็นแนวตรง และ เฉียง
- เวลาของทางที่เลือกว่าจะไปทางไหนก็จะใช้เวลาไม่เท่ากัน

ตัวอย่าง





























จากที่ได้สังเกตุในตึกเดียวกันทุกอย่างได้ถูกควบคุมโดยปัจจัยเดียวกันคือปริมาณพื้นในตึกที่เท่ากันแต่จะขึ้นอยู่กับการเลือกทางที่จะไปมากกว่า ถ้าทางเดินที่ตรงจากพื้นถึงจุดมุ่งหมาย จะทำให้ลดพื้นที่ได้ทางที่สั้น แต่ถ้าทางที่เลือกมีความเอียงก็จะทำให้ระยะทางเพิ่มขึ้น และอีกอย่างคือระบบกลไกที่เข้ามาช่วยทำให้เกิดความสะดวกมากขึ้น

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

กลไกของสิ่งที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์

ทุกๆวันเห็นผู้คนมากมาย ใช้ชีวิตในแต่ละวัน
คนส่วนมากอาจลืมคำว่าชีวิตไปแล้วก็ได้ ว่าจริงๆชีวิตคืออะไร
เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรและชีวิตต้องการอะไร
ผมเห็นมนุษย์เป็นแค่ก้อนเนื้อที่เคลื่อนที่ได้และทำหลายๆอย่างโดยมีกลไกต่างๆควบคุมอยู่
พอมีแสงสว่างในแต่ละวัน เราก็จะเห็นผู้คนมากหน้าหลายตาออกเดินทาง
และด้วยความเร่งรีบ ทำให้เกิดการแข่งขัน
เพื่อไปให้ทันเวลาเข้างานในตอนเช้า
พอตกเที่ยงผู้คนก็ออกมาจากบริษัท ตึกแถวต่างๆ เรียงรายไปหาที่กินอาหาร
ทำให้ถนนในเมืองกลับมาอึดอัดอีกครั้ง
และด้วยเวลาพักที่จำกัด
ทำให้ทุกๆคนต้องเร่งรีบและมองข้ามความมีน้ำใจ การแบ่งบัน
และพอตกเย็นทุกคนก็ได้เวลากลับบ้าน ก็จะกลับกันอย่างตรงเวลาเพราะส่วนมากทำงานเพราะเงิน
ทำให้ทุกคนเฝ้ารอเวลานี้ทั้งวัน จะมีสักกี่คนที่จะได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองชอบและรัก
เพราะเหตุนี้ทำให้ทุกชีวิตมีการแข่งขัน มีความเริ่งรีบ
ทำให้ทุกคนมองเห็นความงามบนโลก
ใบนี้น้อยลง
เมื่อเราเดินเร็วเราก็จะเห็นสิ่งต่างๆระหว่างทางน้อยลง...ทุกที
และนี่ก็คงเป็นกลไกของก้อนเนื้อ ที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์
และทุกๆวันก็ดำเนินอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
โดยไม่รู้ว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง
ในเมื่อความต้องการของมนุษย์ " ไม่มีคำว่าพอ "


ขอให้ทุกคนมีความสุขกับหนึ่งชีวิต ที่มันเป็นของเราเองและจงทำในสิ่งที่ภายในตัวเราต้องการ
แต่สิ่งนั้นจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ทำก่อนจะไม่มีโอกาศได้ทำอีก

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

sequence กับประเด็นการขึ้นตึก III

แบบที่ 1








สื่อที่จะมาทำเป็นงาน หนังสือ 1 เล่ม








ทำกล่องรูปหนังสือ ตรงกลางเล่มมีช่องใส่หนังสืออีกเล่ม หน้าแรกคือเรื่องย่อที่เราจะสามารถอ่านแล้วเข้าใจได้เลยว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไร ส่วนหนังสือที่อยู่ตรงกลางเป็นเรื่องเต็มให้อ่าน ทำขึ้นเพื่อทำให้รู้ว่าการอ่านเรื่องย่อก็ทำให้เราเข้าใจเรื่องนั้นได้ แต่ถ้าเราได้อ่านเรื่องเต็มจะทำให้เราจินตนาการไปกับบรรยากาศที่เรื่องๆนั้นมี เราจะรู้สึกถึงอารมณ์ในในเรื่องนั้น ตรงนี้คงเป็นข้อแตกต่างระหว่างเรื่องย่อกับเรื่องเต็ม ทั้งสองอย่างทำให้เราถึงจุดหมายได้เหมือนกัน แต่การที่เราเลือกที่จะเก็บรายละเอียดระหว่างทางไปเรื่อยๆ เราจะได้สัมผัสความงามระหว่างทาง ทางลัดถ้าจำเป็นก็ใช้ได้แต่ถ้าใช้มากจะทำให้เราลืมความงามบางอย่างไป ส่วนในเรื่องเนื้อหาจะนำนวนิยายมาใช้ในการทำ

แบบที่ 2









สื่อที่จะมาทำเป็นงาน หนังสือ 1 เล่ม







ทำกล่องรูปหนังสือจะมีเรื่องย่ออยู่ด้านหน้าและจะมีซีดีอยู่ในเล่ม ซีดีจะเป็นเรื่องเต็ม เราต้องดูตั้งแต่แรกจนจบโดยมีภาพ เสียง บรรยากาศ ดูหนังใช้เวลา 2-3 ชั่งโมง แต่ถ้าเรารีบก็อ่านเรื่องย่อก็ได้ใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที แต่เราจะเข้าใจเรื่องแต่จะไม่ได้รับบรรยากาศ อารมณ์ ความรู้สึกเท่าไร

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

sequence กับประเด็นการขึ้นตึก II

จากประเด็นเดิม ทางลัด ถ้าเราใช้มากอาจทำให้เราลืมความงามระหว่างทางในที่ ที่เราไม่เคยผ่าน






เหมือนการที่เราไปแต่ชั้น 1 กับ 4 โดยที่ไม่เคยเห็นเลยว่าชั้น 2และ3 เป็นอย่างไง
เลยจะทำแผ่นพับ กับ กระดาษที่เป็นใบเดียวหลายๆใบ
แผ่นพับ กับการขึ้นบันได
กระดาษที่เป็นใบเดียวหลายๆใบ กับการขึ้นลิฟ


ขึ้นบันได












การที่เราเลือกดูแค่อันไหนอันเดียวอาจทำให้เราเข้าใจผิดหรือเห็นความงามไม่หมด
วิธีใช้ ต้องผ่านการไล่ไปทีละหน้าโดยที่เราเป็นตัวกำหนดว่าหน้าไหนไปหน้าไหนต่อ


ขึ้นลิฟ














วิธีใช้ เป็นการเลือกที่ละใบจากในปิกที่มีอยู่ ถ้าเราเลือกมา 1 ใบแล้วเราไม่ดูอันอื่นๆเราก็อาจเข้าใจผิด
คิดว่าเป็นเรื่องที่เราเลือกได้แต่จริงๆในปิกมีหลายๆรูปแต่อยู่ในเรื่องเดียวกันอยู่
อย่างเรื่องสุขภาพที่ได้กล่าวไว้ก่อนบทความนี้

เสนอวันอังคารที่ 10 กค 50
สรุป
- งานน่าจะเป็นชิ้นเดียว เพราะการขึ้นตึกไม่ว่าจะขึ้นด้วยวิธีไหน
ก็อยู่ตึกเดียวกัน ความงามที่หายก็อยู่ในตึก แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะไปทางไหนของการขึ้นตึก

- ต้องหาสื่อใหม่ที่เข้ากับงาน แผนพับยังไม่เด่นพอที่จะนำมาทำเป็นงาน
กระดาษหลายๆแผ่น ยังไม่ตรงกับการขึ้นลิฟมันจะไปในทางการสุ่มมากกว่า

- ในบางครั้งถ้ารีบก็ใช้ทางลัดก็ได้ แต่ถ้าใช้บ่อยๆเราก็จะไม่ได้เห็นความงามระหว่างทาง

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

sequence กับประเด็นการขึ้นตึก I

จากที่ได้เสนอเรื่องการขึ้นตึกหรืออาคาร จึงได้คิดว่าจะทำไงเพื่อให้งานอธิบาย sequence จึงจะทำหนังสือ 1 เล่ม
ที่ไม่บอกว่าเป็นหนังสืออะไร แต่จะมีกระดาษขั้นหน้าไว้ 3 สี

ตัวอย่าง สีแรกเป็นเรื่องเพศ
สีที่สองเป็นเรื่องอาหารการกิน
สีที่สามเป็นเรื่องการออกกำลังกาย








เป็นหนังสือสุขภาพ ถ้าเราเลือกอ่านเฉพาะสีเราจะเข้าใจว่าเป็นเป็นเรื่องนั้นไป
เหมือนการขึ้นลิฟ

1 - - - - 6 , 1 - - - 5 - , 1 - 3 - - -

แต่ถ้าเราอ่านตั้งแต่หน้าแรกจนจบเล่มเราจะเข้าใจเรื่องสุขภาพอย่างรอบด้านตามที่หนังสือเขียนไว้ทั้งหมด

1 - 2 - 3 - 4 - 6

เพราะผมคิดกับประเด็น จนได้คำว่า "ทางลัด" มาเหมือนการขึ้นลิฟถ้าเรามาจากชั้น 1 ไปชั้น 6 ทุกๆวัน
โดยที่เราไม่เคยไปชั้นอื่นๆ เราก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าชั้นอื่นๆมีอะไรบ้างเหมือนกับชั้นที่เราอยู่หรือเปล่า
เหมือนงานถ้าไม่อ่านตั้งแต่เริ่มจนจบเราก็อาจ เข้าใจผิดก็ได้ ว่าหนังสืออะไร

เสนอวันอังคารที่ 3 ก.ค.50 แต่ไม่ได้ลง
สรุป อาจารย์ทั้งสองท่านได้ให้ความเห็นว่า สิ่งที่จะทำจะเป็นในด้านภาษาศาสตร์มากกว่าและประเด็น sequence
ถูกลดค่าความสำคัญลงมา ด้วยเหตุผลที่ว่าถ้าจะนำเรื่องมาต้องเขียนและเรียบเรียงเองมันเลยไกลจากการออกแบบไป
ผมคิดว่าจะหาเรื่องมาแต่ก็มีความคิดว่ามันจะลำบากและจะทำให้กลมกลืนยาก

จากที่ถูกวิจารณ์ก็คิดว่าก็จริง sequence ถูกลดบทบาทลง เราให้ความสำคัญกับเนื้อเรื่องที่จะเอามาทำมากเกินไป
ก็ต้องคิดต่อไปอีกว่าจะทำไง ในรูปแบบไหน

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

Sequence

Sequence ตามความหมายทั่วๆไป
การต่อเนื่องกัน,ลำดับเหตุการณ์,ลำดับ,ขั้นตอน,ไพ่ที่เรียงแต้มกัน,
เพลงสวดที่ต่อเนื่องกัน,จัดลำดับ,เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามลำดับ


Sequence ในความหมายของผม
ระบบของสิ่งหนึ่งที่ภายในประกอบไปด้วยหลายๆสิ่ง แต่ละสิ่งที่อยู่ภายในจะมีความสำคัญ
และมีความหมายตลอดจนความเข้าใจในตัวมันเองเมื่อถูกจับแยกออกมา
Ex 1 2 3 4 5 ได้ถูกกำหนดโดยการไล่จำนวน ถ้าเราดึง 2 ออกมา
เราก็ยังเข้าใจได้ว่ามีค่าเท่าไร แต่มันอาจจะบอกจุดเริ่มและจุดจบไม่ได้


วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ประเด็นการขึ้นอาคารเรียน

การขึ้นเรียนในแต่ละครั้ง ถ้าตึกนั้นมีแต่บันไดเราก็ต้องเดินขึ้น
จุดเริ่มต้นที่ 1 เราก็ต้องผ่านทุกๆชั้น จนถึงชั้นที่ต้องการ คือ 6

1 - 2 - 3 - 4 - 5 - 6

แต่ถ้าอาคารนั้นมีลิฟเราจะอยู่ที่ชั้น 1
และไปถึงชั้นที่ต้องการได้เลย คือ ชั้น6 โดยที่ไม่ต้องเดินผ่าน 2 - 3 - 4 - 5

หรือ 1 - - - - 6

มันทำให้เราสบายขึ้นและขี้เกียจมากขึ้นด้วย บางครั้งอาจมีสิ่งสวยๆงามๆมากมาย
ที่อยู่ชั้นต่างๆที่เราไม่ได้เห็นหรือไม่ได้ลงไปสัมผัสก็ได้เพราะทุกอย่าง
เมื่อมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียเป็นธรรมดา

อธิบาย sequence จากหนังเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น

















อ้างอิงหนังเพื่อทำความเข้าใจกับ sequence อย่างในเรื่องนี้เปรียบกับ sequence
คือมี 3 ภาคแต่ละภาคถ้าเราไม่ได้ดูภาคแรกเราก็จะเข้าใจแต่ในเรื่องที่ดู แต่เราก็ไม่รู้ว่าในตอนเริ่มต้น
ของภาคแรกมันเป็นอย่างไงและก็ไม่รู้ว่าในตอนจบของภาค 3 มันจะลงเอยอย่างไง งั้นแสดงว่าในแต่ละภาค
มีความเป็นเอกเทศของตัวเองแต่ถ้าใครได้ดูครบทั้ง 3 ภาคก็จะเข้าใจทั้งหมดและทั้ง 3 ภาคจะมีตัวเชื่อมโยง
เนื้อเรื่องของทั้งหมดไว้เพื่อให้เป็นไปในในเรื่องเดียวกัน

วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2550

งานเก่าที่รู้สึกดี

เลือกงานหนึ่งชิ้นที่เคยทำตอนเรียนออกแบบหนังสือ
เป็นการปรับปรุงหนังสือชื่อ "รวยเร็วรวยแรง"
รูปแบบของหนังสือทำมาเพื่อให้คนที่เรียนจบแล้วแต่ยังไม่มีงานทำ
และมีการแนะนำธุระกิจที่น่าสนใจมากมาย และยังได้รู้จักนักธุระกิจหน้าใหม่
แต่ปัญหาของหนังสือคือการจัดวางเนื้อหาในเล่มและหน้าปกที่ที่ยังไม่ลงตัว
ทำให้หนังสือยังขาดความน่าสนใจและดูแล้วไม่น่าอ่าน
คู่แข่งของหนังสือ "รวยเร็วรวยแรง"
1.ทำมาหากิน ที่รูปแบบหรือเนื้อหาภายในมีความใกล้เคียงกันมาก
2.หนังสือประเภทอาชีพที่กำลังมาแรง
3.หนังสือประเภทธุระกิจของคนดัง
โดยประมาณถ้าหนังสือเล่มไหนขายที่ราคาแพงกว่าก็จะดูดีกว่า

งานที่ออกแบบใหม่ยังคงลักษณะเฉพาะของมันไว้อยู่แต่ผมออกแบบ
ให้ดูแล้วอ่านง่ายสบายๆ
เนื้อหาที่จัดวางรวมถึงภาพที่นำมาประกอบในงาน
โดยได้อ่านและศึกษาข้อมูลหรือเนื้อหาของเดิมก่อนแล้วดึงเอกลักษณ์บางอย่างมาใช่ในการจัดวาง
โดยจัดวางให้ดูสะอาดตา

ปกหน้าและปกหลัง









วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2550

รายงานตัวกันก่อน

ชื่อ พรเทพ พึ่งฉิ่ง
กำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
คณะศิลปกรรม
สาขานิเทศศิลป์
ปี 4
Blogger เป็นส่วนหนึ่งของวิชาออกแบบนิเทศศิลป์ 5
เป็นการรวบรวมข้อมูลและงานในวิชานี้เพื่อให้เห็นวิธี
และกระบวนการทำงานของนักศึกษาแต่ละคน
งานในเทอมนี้จะถูกดำเนินไปในขอบเขตเดียวกัน
มีคำว่า " sequence " เป็นตัวบอกขอบเขตงานโดยรวม
นำประเด็นหรือเรื่องที่สนใจมาคิดและทำภายในขอบเขตรวม
โดยมีอาจารย์ 2 ท่านคอยให้คำแนะนำ