วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

กลไกของสิ่งที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์

ทุกๆวันเห็นผู้คนมากมาย ใช้ชีวิตในแต่ละวัน
คนส่วนมากอาจลืมคำว่าชีวิตไปแล้วก็ได้ ว่าจริงๆชีวิตคืออะไร
เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรและชีวิตต้องการอะไร
ผมเห็นมนุษย์เป็นแค่ก้อนเนื้อที่เคลื่อนที่ได้และทำหลายๆอย่างโดยมีกลไกต่างๆควบคุมอยู่
พอมีแสงสว่างในแต่ละวัน เราก็จะเห็นผู้คนมากหน้าหลายตาออกเดินทาง
และด้วยความเร่งรีบ ทำให้เกิดการแข่งขัน
เพื่อไปให้ทันเวลาเข้างานในตอนเช้า
พอตกเที่ยงผู้คนก็ออกมาจากบริษัท ตึกแถวต่างๆ เรียงรายไปหาที่กินอาหาร
ทำให้ถนนในเมืองกลับมาอึดอัดอีกครั้ง
และด้วยเวลาพักที่จำกัด
ทำให้ทุกๆคนต้องเร่งรีบและมองข้ามความมีน้ำใจ การแบ่งบัน
และพอตกเย็นทุกคนก็ได้เวลากลับบ้าน ก็จะกลับกันอย่างตรงเวลาเพราะส่วนมากทำงานเพราะเงิน
ทำให้ทุกคนเฝ้ารอเวลานี้ทั้งวัน จะมีสักกี่คนที่จะได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองชอบและรัก
เพราะเหตุนี้ทำให้ทุกชีวิตมีการแข่งขัน มีความเริ่งรีบ
ทำให้ทุกคนมองเห็นความงามบนโลก
ใบนี้น้อยลง
เมื่อเราเดินเร็วเราก็จะเห็นสิ่งต่างๆระหว่างทางน้อยลง...ทุกที
และนี่ก็คงเป็นกลไกของก้อนเนื้อ ที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์
และทุกๆวันก็ดำเนินอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
โดยไม่รู้ว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง
ในเมื่อความต้องการของมนุษย์ " ไม่มีคำว่าพอ "


ขอให้ทุกคนมีความสุขกับหนึ่งชีวิต ที่มันเป็นของเราเองและจงทำในสิ่งที่ภายในตัวเราต้องการ
แต่สิ่งนั้นจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ทำก่อนจะไม่มีโอกาศได้ทำอีก

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

sequence กับประเด็นการขึ้นตึก III

แบบที่ 1








สื่อที่จะมาทำเป็นงาน หนังสือ 1 เล่ม








ทำกล่องรูปหนังสือ ตรงกลางเล่มมีช่องใส่หนังสืออีกเล่ม หน้าแรกคือเรื่องย่อที่เราจะสามารถอ่านแล้วเข้าใจได้เลยว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไร ส่วนหนังสือที่อยู่ตรงกลางเป็นเรื่องเต็มให้อ่าน ทำขึ้นเพื่อทำให้รู้ว่าการอ่านเรื่องย่อก็ทำให้เราเข้าใจเรื่องนั้นได้ แต่ถ้าเราได้อ่านเรื่องเต็มจะทำให้เราจินตนาการไปกับบรรยากาศที่เรื่องๆนั้นมี เราจะรู้สึกถึงอารมณ์ในในเรื่องนั้น ตรงนี้คงเป็นข้อแตกต่างระหว่างเรื่องย่อกับเรื่องเต็ม ทั้งสองอย่างทำให้เราถึงจุดหมายได้เหมือนกัน แต่การที่เราเลือกที่จะเก็บรายละเอียดระหว่างทางไปเรื่อยๆ เราจะได้สัมผัสความงามระหว่างทาง ทางลัดถ้าจำเป็นก็ใช้ได้แต่ถ้าใช้มากจะทำให้เราลืมความงามบางอย่างไป ส่วนในเรื่องเนื้อหาจะนำนวนิยายมาใช้ในการทำ

แบบที่ 2









สื่อที่จะมาทำเป็นงาน หนังสือ 1 เล่ม







ทำกล่องรูปหนังสือจะมีเรื่องย่ออยู่ด้านหน้าและจะมีซีดีอยู่ในเล่ม ซีดีจะเป็นเรื่องเต็ม เราต้องดูตั้งแต่แรกจนจบโดยมีภาพ เสียง บรรยากาศ ดูหนังใช้เวลา 2-3 ชั่งโมง แต่ถ้าเรารีบก็อ่านเรื่องย่อก็ได้ใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที แต่เราจะเข้าใจเรื่องแต่จะไม่ได้รับบรรยากาศ อารมณ์ ความรู้สึกเท่าไร

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

sequence กับประเด็นการขึ้นตึก II

จากประเด็นเดิม ทางลัด ถ้าเราใช้มากอาจทำให้เราลืมความงามระหว่างทางในที่ ที่เราไม่เคยผ่าน






เหมือนการที่เราไปแต่ชั้น 1 กับ 4 โดยที่ไม่เคยเห็นเลยว่าชั้น 2และ3 เป็นอย่างไง
เลยจะทำแผ่นพับ กับ กระดาษที่เป็นใบเดียวหลายๆใบ
แผ่นพับ กับการขึ้นบันได
กระดาษที่เป็นใบเดียวหลายๆใบ กับการขึ้นลิฟ


ขึ้นบันได












การที่เราเลือกดูแค่อันไหนอันเดียวอาจทำให้เราเข้าใจผิดหรือเห็นความงามไม่หมด
วิธีใช้ ต้องผ่านการไล่ไปทีละหน้าโดยที่เราเป็นตัวกำหนดว่าหน้าไหนไปหน้าไหนต่อ


ขึ้นลิฟ














วิธีใช้ เป็นการเลือกที่ละใบจากในปิกที่มีอยู่ ถ้าเราเลือกมา 1 ใบแล้วเราไม่ดูอันอื่นๆเราก็อาจเข้าใจผิด
คิดว่าเป็นเรื่องที่เราเลือกได้แต่จริงๆในปิกมีหลายๆรูปแต่อยู่ในเรื่องเดียวกันอยู่
อย่างเรื่องสุขภาพที่ได้กล่าวไว้ก่อนบทความนี้

เสนอวันอังคารที่ 10 กค 50
สรุป
- งานน่าจะเป็นชิ้นเดียว เพราะการขึ้นตึกไม่ว่าจะขึ้นด้วยวิธีไหน
ก็อยู่ตึกเดียวกัน ความงามที่หายก็อยู่ในตึก แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะไปทางไหนของการขึ้นตึก

- ต้องหาสื่อใหม่ที่เข้ากับงาน แผนพับยังไม่เด่นพอที่จะนำมาทำเป็นงาน
กระดาษหลายๆแผ่น ยังไม่ตรงกับการขึ้นลิฟมันจะไปในทางการสุ่มมากกว่า

- ในบางครั้งถ้ารีบก็ใช้ทางลัดก็ได้ แต่ถ้าใช้บ่อยๆเราก็จะไม่ได้เห็นความงามระหว่างทาง

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

sequence กับประเด็นการขึ้นตึก I

จากที่ได้เสนอเรื่องการขึ้นตึกหรืออาคาร จึงได้คิดว่าจะทำไงเพื่อให้งานอธิบาย sequence จึงจะทำหนังสือ 1 เล่ม
ที่ไม่บอกว่าเป็นหนังสืออะไร แต่จะมีกระดาษขั้นหน้าไว้ 3 สี

ตัวอย่าง สีแรกเป็นเรื่องเพศ
สีที่สองเป็นเรื่องอาหารการกิน
สีที่สามเป็นเรื่องการออกกำลังกาย








เป็นหนังสือสุขภาพ ถ้าเราเลือกอ่านเฉพาะสีเราจะเข้าใจว่าเป็นเป็นเรื่องนั้นไป
เหมือนการขึ้นลิฟ

1 - - - - 6 , 1 - - - 5 - , 1 - 3 - - -

แต่ถ้าเราอ่านตั้งแต่หน้าแรกจนจบเล่มเราจะเข้าใจเรื่องสุขภาพอย่างรอบด้านตามที่หนังสือเขียนไว้ทั้งหมด

1 - 2 - 3 - 4 - 6

เพราะผมคิดกับประเด็น จนได้คำว่า "ทางลัด" มาเหมือนการขึ้นลิฟถ้าเรามาจากชั้น 1 ไปชั้น 6 ทุกๆวัน
โดยที่เราไม่เคยไปชั้นอื่นๆ เราก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าชั้นอื่นๆมีอะไรบ้างเหมือนกับชั้นที่เราอยู่หรือเปล่า
เหมือนงานถ้าไม่อ่านตั้งแต่เริ่มจนจบเราก็อาจ เข้าใจผิดก็ได้ ว่าหนังสืออะไร

เสนอวันอังคารที่ 3 ก.ค.50 แต่ไม่ได้ลง
สรุป อาจารย์ทั้งสองท่านได้ให้ความเห็นว่า สิ่งที่จะทำจะเป็นในด้านภาษาศาสตร์มากกว่าและประเด็น sequence
ถูกลดค่าความสำคัญลงมา ด้วยเหตุผลที่ว่าถ้าจะนำเรื่องมาต้องเขียนและเรียบเรียงเองมันเลยไกลจากการออกแบบไป
ผมคิดว่าจะหาเรื่องมาแต่ก็มีความคิดว่ามันจะลำบากและจะทำให้กลมกลืนยาก

จากที่ถูกวิจารณ์ก็คิดว่าก็จริง sequence ถูกลดบทบาทลง เราให้ความสำคัญกับเนื้อเรื่องที่จะเอามาทำมากเกินไป
ก็ต้องคิดต่อไปอีกว่าจะทำไง ในรูปแบบไหน

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

Sequence

Sequence ตามความหมายทั่วๆไป
การต่อเนื่องกัน,ลำดับเหตุการณ์,ลำดับ,ขั้นตอน,ไพ่ที่เรียงแต้มกัน,
เพลงสวดที่ต่อเนื่องกัน,จัดลำดับ,เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามลำดับ


Sequence ในความหมายของผม
ระบบของสิ่งหนึ่งที่ภายในประกอบไปด้วยหลายๆสิ่ง แต่ละสิ่งที่อยู่ภายในจะมีความสำคัญ
และมีความหมายตลอดจนความเข้าใจในตัวมันเองเมื่อถูกจับแยกออกมา
Ex 1 2 3 4 5 ได้ถูกกำหนดโดยการไล่จำนวน ถ้าเราดึง 2 ออกมา
เราก็ยังเข้าใจได้ว่ามีค่าเท่าไร แต่มันอาจจะบอกจุดเริ่มและจุดจบไม่ได้


วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ประเด็นการขึ้นอาคารเรียน

การขึ้นเรียนในแต่ละครั้ง ถ้าตึกนั้นมีแต่บันไดเราก็ต้องเดินขึ้น
จุดเริ่มต้นที่ 1 เราก็ต้องผ่านทุกๆชั้น จนถึงชั้นที่ต้องการ คือ 6

1 - 2 - 3 - 4 - 5 - 6

แต่ถ้าอาคารนั้นมีลิฟเราจะอยู่ที่ชั้น 1
และไปถึงชั้นที่ต้องการได้เลย คือ ชั้น6 โดยที่ไม่ต้องเดินผ่าน 2 - 3 - 4 - 5

หรือ 1 - - - - 6

มันทำให้เราสบายขึ้นและขี้เกียจมากขึ้นด้วย บางครั้งอาจมีสิ่งสวยๆงามๆมากมาย
ที่อยู่ชั้นต่างๆที่เราไม่ได้เห็นหรือไม่ได้ลงไปสัมผัสก็ได้เพราะทุกอย่าง
เมื่อมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียเป็นธรรมดา

อธิบาย sequence จากหนังเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น

















อ้างอิงหนังเพื่อทำความเข้าใจกับ sequence อย่างในเรื่องนี้เปรียบกับ sequence
คือมี 3 ภาคแต่ละภาคถ้าเราไม่ได้ดูภาคแรกเราก็จะเข้าใจแต่ในเรื่องที่ดู แต่เราก็ไม่รู้ว่าในตอนเริ่มต้น
ของภาคแรกมันเป็นอย่างไงและก็ไม่รู้ว่าในตอนจบของภาค 3 มันจะลงเอยอย่างไง งั้นแสดงว่าในแต่ละภาค
มีความเป็นเอกเทศของตัวเองแต่ถ้าใครได้ดูครบทั้ง 3 ภาคก็จะเข้าใจทั้งหมดและทั้ง 3 ภาคจะมีตัวเชื่อมโยง
เนื้อเรื่องของทั้งหมดไว้เพื่อให้เป็นไปในในเรื่องเดียวกัน